ประวัติกีฬายกน้ำหนัก
จาก Eduzones Elibrary, สารานุกรมฟรี กีฬายกน้ำหนักในยุคเริ่มต้นไม่ได้เป็นกีฬาอย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน สังคมในยุคโบราณ จะมีเรื่องราวของการท้าทาย การต่อสู้ หรือการแข่งขันของกลุ่มชนเผ่าเดียวกัน หรือต่างเผ่าซึ่งดูเป็นเรื่องปกติ ทั่วไป คนที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ต่างพยายามแสดงออกถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของตนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นความพยายามที่ต้องการแสดงออกว่าใครแข็งแรงกว่ากัน วิธีการวัดความแข็งแรงในสมัยนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น การแบกลูกวัว การยกถุงทราย การยกหิน หรือการยกเหล็ก เป็นต้น รูปแบบวิธีวัดความแข็งแรงของร่างกายในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้พัฒนารูปแบบท่าทางในการยกที่แตกต่างกันออกไป
จากบันทึกในตำนานของกรีก สามารถยืนยันได้ถึงการแข่งขันความแข็งแรงของคนในสมัยโบราณว่า ผู้ที่แข็งแรงที่สุดในสมัยนั้น คือ มิโลแห่งโครตัน (Milo of Croton) ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถชนะ
การแข่งขันในกีฬาโอลิมปิคโบราณถึงหกครั้งด้วยกัน มิโลแห่งโครตันมีวิธีการฝึกให้คนมีความแข็งแรงด้วย การแบกลูกวัวไว้บนบ่า เมื่อลูกวัวโตและมีน้ำหนักมากขึ้นก็จะทำให้มิโลแห่งโครตันมีพละกำลังมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าประมาณต้นศตวรรษที่สิบเก้าในทวีปยุโรปได้มีกองคาราวานของละครสัตว์ตระเวนไปค้าขายแข่งขันหาคนที่แข็งแรงด้วยการยกของหนัก ๆ ตามชุมชนต่าง ๆ โดยใช้ดัมเบล (Dumb-bells) ที่มีคานยาวและมีตุ้มน้ำหนักติดแน่น การที่คณะละครสัตว์ตระเวนไปแข่งขันตามชุมชนต่าง ๆ แสดงว่าในแต่ละชุมชนนั้น มีคนที่สนใจในด้านนี้อยู่เสมอ การยกน้ำหนักจำนวนมาก ๆ นั้นจำกัดเฉพาะพวกที่ห้าวหาญ และได้รับความนิยมในกลุ่มของนักแสดง นักกายกรรมในคณะละครสัตว์เท่านั้น (Ford Movis. n.d.: 217-219)
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์การแข่งขันกีฬาชนิดต่าง ๆ ไม่มีการแข่งขันกีฬาใดที่จะมี ประวัติศาสตร์อันยาวนานเท่ากับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคชาวกรีก ( กรีซ) เป็นประเทศแรกที่จัดการแข่งขันขึ้น เมื่อก่อนคริสตกาล การแข่งขันได้ดำเนินเรื่อยมาจนถึงพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน ทรงพระนามว่า ซีโอโดซิอุส (Theodosius) ได้มีกระแสรับสั่งให้ระงับการแข่งขันเมื่อปี ค. ศ. 392 กีฬาโอลิมปิคถือว่าเป็นกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสมัยกรีกโบราณที่จัดขึ้นทุกสี่ปีเพื่อเป็นการสักการะบูชาเทพเจ้าซีอุส (Zeus) ( วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, 2537 : 554)
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์ของกรีกโบราณและ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เพราะทั้งสองประเทศเป็นอาณาจักรที่เรืองอำนาจที่สุดในโลก ในขณะนั้นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค มีการจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่า เริ่มการแข่งขันเมื่อ 76 ปี ก่อนคริสตกาลเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ ในครั้งนั้นได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากพระเจ้าคลิโฮสเชเนส กษัตริย์แห่งเมืองปิซา พระเจ้าลิเคอร์กุส กษัตริย์แห่งสปาร์ตา และพระเจ้าอิฟิตุส กษัตริย์แห่งเมืองเอลิส หลายศตวรรษต่อมาได้เริ่มมีการพัฒนาการแข่งขันยิ่งขึ้น โดยได้เริ่มการเขียนกฎเกณฑ์การแข่งขันขึ้น เพื่อจะควบคุมการแข่งขันนั้นให้เกิดเป็นระเบียบ มีความยุติธรรม เช่น การขว้างจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีพลังแข็งแกร่ง อดทน และแข็งแรงในยุคนั้น บุคคลใดสามารถขว้างจักรได้ไกลที่สุด ย่อมได้รับยกย่องให้เป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศนั้น ( จรินทร์ ธานีรัตน์ 2511 : 4)
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคครั้งแรกมีกีฬาประเภทใดบ้าง นอกจากการแข่งขันวิ่งที่จัดให้มีการแข่งขันขึ้น ต่อมาก็จัดให้มีการแข่งขันมวยปล้ำ การกระโดดและกีฬามวย การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคที่ประเทศกรีก ( กรีซ) ได้พัฒนาและเจริญรุ่งโรจน์ถึงขีดสูงสุดเมื่อ 464 ปี ก่อนคริสตกาล ในขณะนั้นประเทศกรีก ( กรีซ) ได้รวมประเทศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว และทุก ๆ เมือง ทุก ๆ ท้องถิ่น ต่างมีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะมีแชมป์เปี้ยนโอลิมปิคในเมืองของตน การแข่งขันกีฬาโอลิมปิคได้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่ง มาหยุดชะงักลงเมื่อปี พ. ศ. 2459 ( ค. ศ.1916) อันเนื่องมาจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค
ประวัติการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักในประเทศกรีก ( กรีซ) เริ่มขึ้นเมื่อ พ. ศ.2439 ( ค. ศ.1896) เป็นครั้งแรก จัดขึ้นที่กรุงเอเธนส์ ประเทศเจ้าภาพได้รับเหรียญจากการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักเพียง 2 เหรียญทองแดง ( เหรียญบรอนซ์) สำหรับสหพันธ์ยกน้ำหนักของประเทศกรีซ มีชื่อเรียกว่า Hellenic Weightlifting Federation : HWF . ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ. ศ.2515 ( ค. ศ. 1972) โดยรวมอยู่กับสหพันธ์มวยปล้ำ
การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักในรูปแบบปัจจุบันที่ใช้บาร์เบล เริ่มในศตวรรษที่ 19 ในยุโรปตะวันตก เป็นการแสดงของบุรุษผู้ทรงพลังในโรงละครสัตว์และโรงแสดงการดนตรี เมื่อปี พ . ศ.2448 ( ค. ศ.1905) นี้เองถือว่า เป็นปีเริ่มต้นที่ก่อตั้งสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติขึ้นเป็นครั้งแรก แต่การแข่งขันก็ขาดช่วงไปหลายปี จนกระทั่งปี พ. ศ.2463 ( ค. ศ.1920) การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ โดยได้บรรจุเข้าในการ แข่งขันกีฬา โอลิมปิคอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันกฎเกณฑ์การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักในระยะแรกอยู่ภายใต้ Federation International High Committee : FIHC. ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (International Weightlifting Federation : IWF) โดยมีศูนย์กลางหรือสำนักงานใหญ่อยู่ ณ กรุงบูคาเปสท์ ประเทศฮังการี
การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลกจัดขึ้นครั้งแรกที่เมืองพิคาดิลลี่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ. ศ. 2434 ( ค. ศ.1891) มี 2 ท่า คือ
1. ท่าเจอร์คมือเดียว (The Single hand of Jerk)
2. ท่าเจอร์คสองมือ (The two hands of Jerk)
ต่อมาคณะกรรมการโอลิมปิคสากลแนะนำให้มีการแข่งขันกีฬายกน้ำหนัก 4 ท่า คือ
1. ท่าสแนทช์มือเดียว (The single hand of Snatch)
2. ท่าคลีนแอนด์เจอร์คมือเดียว (The single hand of clean and Jerk)
3. ท่าสแนทช์สองมือ (The two hands of snatch)
4. ท่าคลีนแอนด์เจอร์คสองมือ (The two hands of clean and Jerk)
ระหว่างปี พ. ศ. 2471 ( ค. ศ. 1928) – พ. ศ. 2515 ( ค. ศ. 1972) คณะกรรมการสหพันธ์ ยกน้ำหนักนานาชาติได้พิจารณาลดจำนวนท่ายกให้เหลือเพียง 3 ท่า คือ
1. ท่าเพรสสองมือ (The two hands of Press)
2. ท่าสแนทช์สองมือ (The two hands of Snatch)
3. ท่าคลีนแอนด์เจอร์คสองมือ (The two hands of clean and Jerk)
ต่อมาในการประชุมสภาคองเกรสของสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ ( ระหว่างประเทศ) ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 20 ณ เมืองมิวนิค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เมื่อปี พ. ศ.2515 ( ค. ศ.1972) มติของคณะกรรมการให้ยกเลิกท่าเพรสสองมือ เนื่องจากท่าดังกล่าวสร้างปัญหาให้แก่กรรมการตัดสินมาก และก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมในการแข่งขันกีฬายกน้ำหนัก หลังจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคครั้งที่ 20 พ. ศ.2515 ( ค. ศ.1972) จึงกำหนดให้มีท่ายกน้ำหนักในการแข่งขันเพียง 2 ท่า คือ
1. ท่าสแนทช์สองมือ (The two hands of Snatch)
2. ท่าคลีนแอนด์เจอร์คสองมือ (The two hands of clean and Jerk)
ต่อมาในปี พ.ศ.2536 สหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติได้ประกาศเปลี่ยนแปลงพิกัดรุ่นน้ำหนักของนักกีฬาเพื่อใช้ในการแข่งขันทั้งประเภทชายและหญิง ดังนี้ ประเภททีมชายแบ่งออกเป็น 10 รุ่นได้แก่ 54, 59, 64, 70, 76, 83, 91, 99, 108 และเกิน 108 กิโลกรัม สำหรับประเภททีมหญิงแบ่งออกเป็น 9 รุ่น ได้แก่ 46, 50, 54, 59, 64, 70, 76, 83 และเกิน 83 กิโลกรัม ซึ่งได้ใช้รุ่นเหล่านี้ ทำการแข่งขันตลอดมาจนถึงสิ้นปี พ.ศ.2540 จึงได้ประกาศยกเลิก
การแข่งขันกีฬายกน้ำหนักได้พัฒนาต่อไปอีกเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดการแข่งขันของแต่ละรุ่น เพื่อให้เกิดความยุติธรรม มิให้ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก กล่าวคือเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ. ศ.2540 ( ค. ศ.1997) นายกอดไฟร์ โชลด์ (Mr.Gottfried Schodl) ประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (IWF) และ ดร. ทามาส อายาน (DR. TAMAS AJAN) เลขาธิการสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติในขณะนั้น พร้อมด้วย ศาสตราจารย์เกอร์เรียกอส เวอร์วิดากิส (Prof.Kiriokos Virvidakis) ประธานกรรมาธิการ และนางคลา อัลวาเชส (MRS. Cla Alvaryz) กรรมาธิการ ประชุมกันที่เมืองโลซานน์ (Lausanne) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้เสนอ ต่อนายกิลเบอร์ท เฟลลี่ (MR.Gilbert Felli) ประธานโอลิมปิคสากล (IOC) ว่าการจัดการแข่งขันกีฬา ยกน้ำหนักควรจัดให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้เป็นระบบสากลเกี่ยวกับการแบ่งรุ่นดังต่อไปนี้
การแข่งขันประเภทชาย ให้แบ่งการแข่งขันออกเป็น 8 รุ่น คือ
(1) รุ่น 56 กิโลกรัม
(2) รุ่น 62 กิโลกรัม
(3) รุ่น 69 กิโลกรัม
(4) รุ่น 77 กิโลกรัม
(5) รุ่น 85 กิโลกรัม
(6) รุ่น 94 กิโลกรัม
(7) รุ่น 105 กิโลกรัม
(8) รุ่น + 105 กิโลกรัม ( รุ่นน้ำหนักเกิน 105 กิโลกรัมขึ้นไป)
การแข่งขันประเภทหญิง แบ่งเป็น 7 รุ่น คือ
(1) รุ่น 48 กิโลกรัม
(2) รุ่น 53 กิโลกรัม
(3) รุ่น 58 กิโลกรัม
(4) รุ่น 63 กิโลกรัม
(5) รุ่น 69 กิโลกรัม
(6) รุ่น 75 กิโลกรัม
(7) รุ่น + 75 กิโลกรัม ( รุ่นน้ำหนักเกิน 75 กิโลกรัมขึ้นไป)
หลังจากการตกลงของคณะกรรมการบริหารสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (IWF) จึงให้ยึดถือ การแบ่งรุ่นกันใหม่ดังกล่าว ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ. ศ. 2541 ( ค. ศ.1998) เป็นต้นไป ดังนั้นการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก และกีฬาโอลิมปิคในปัจจุบันจึงยึดถือแนวปฏิบัติการแบ่งน้ำหนักตัวผู้เข้า ทำการแข่งขันยกน้ำหนักตามมติของคณะกรรมการบริหารสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติหลังจากที่มีการประชุมสภา คองเกรส ณ เมืองเคปทาวน์ (The cape town) ประเทศอาฟริกาใต้
ส่วนคณะกรรมการของสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (IWF) ในปัจจุบัน พ. ศ.2548-2551 ( ค. ศ.2005-2008) ประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (IWF) คือ ดร.ทามาส อายาน (DR.TAMAS AJAN) ชาวฮังกาเรียน ( ประเทศฮังการี) เลขาธิการคือ นายยานนิส สะกอร์ส (MR.Yannis Sgouros) ชาวกรีก ( ประเทศกรีช) ทั้งนี้ จากผลการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (IWF) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 มีนาคม 2548 ณ กรุงอิสตัลบูล ประเทศตุรกี และพลตรี อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตนายกสมาคมยกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติคนที่ 1
สำหรับกีฬายกน้ำหนัก ได้เริ่มเข้ามาแพร่หลายในทวีปเอเชีย และได้มีการประชุมจัดตั้งสหพันธ์ยกน้ำหนักเอเชียขึ้น เมื่อปี ค. ศ.1958 ที่ประเทศญี่ปุ่น มีประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักเอเชีย (Asian Weightlifting Federation = AWF) เป็นชาวอิหร่าน ชื่อ นายเอ เอ็ม บัคเทีย (A.M.Buctia) และเลขาธิการ คือ นายเอ. นาเดอรี (A. Naderi) ดำรงตำแหน่งเมื่อปี ค. ศ.1958-1966 และประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักเอเชีย คนต่อมา คือ นายชูล เชียงลี (Cgoul Chiang-Li) ใน ปี ค. ศ. 1966-1970 และเมื่อมีการประชุมเลือกตั้งใหม่ นายสุชาติ สมิทธินันต์ ได้รับเลือกจากสมาชิกสหพันธ์ให้เป็นประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักเอเชีย ในปี ค . ศ.1970-1985 และ นายอิสเมล แดดโอดาซาเดซ (Ismeel Dadodasadez) ชาวอิหร่าน เป็นเลขาธิการ และเมื่อปี ค. ศ. 1993 พลตรีอินทรัตน์ ยอดบางเตย จากประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักเอเชีย ( รักษาการ ประธานสหพันธ์) โดยมีนายไมเคิล คอว์ย (Michael Koay Say Lean) ชาวสิงคโปร์ เป็นเลขาธิการ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2546 (ค.ศ.2003) สหพันธ์ยกน้ำหนักแห่งเอเชีย (AWF) ได้จัดให้มีการประชุมสามัญประจำปี และมีมติเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารใหม่ ปรากฏว่า ประธานสหพันธ์ได้แก่ นายพวนเทเวลลา โมนิโก ชาวฟิลิปินส์ และ นายโมราคี อาลี ชาวอิหร่าน เป็นเลขาธิการ ฯ
สัญลักษณ์กีฬาโอลิมปิค
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ถือกันว่าเป็นการฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิคสมัยใหม่ บารอน ปีแอร์ เดอคูแบร์แตง ชาวฝรั่งเศส แนะนำให้ใช้วงกลม 5 ห่วง โดยกำหนดให้มีสีน้ำเงิน สีเหลือง สีดำ สีเขียว และสีแดง ซึ่งหมายถึงการรวมสีธงชาติของทุกชาติ เพราะว่าธงชาติของทุกชาติในโลกนี้ย่อมจะมีสีใดสีหนึ่งอยู่ในห่วง วงกลมห่วงใดห่วงหนึ่ง ธงโอลิมปิคจึงเป็นการรวมสีธงชาติของชาวโลกทุกประเทศไว้ในธงผืนเดียวกัน นั่นหมายถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธงโอลิมปิคได้โบกสะบัดครั้งแรกเมื่อปี พ. ศ. 2463 ( ค. ศ. 1920) ณ ประเทศเบลเยี่ยม
แหล่งที่มา เว็บการกีฬาแห่งประเทศไทย
Retrieved from "http://www.eduzones.com/elibrary/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81"
กติกาการแข่งขัน
การจัดการแข่งขัน
1. การยกสองท่า
1.1 สหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ (IWF) รับรองการยกทั้งสองท่าที่จะต้องทำให้สำเร็จตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
- ท่าสแนตช์
- ท่าคลีนแอนด์เจิร์ก
1.2 การยกทั้งสองท่าดังกล่าวข้างต้น ต้องยกโดยใช้มือทั้งสองข้าง
1.3 การยกแต่ละท่า กำหนดให้ยกได้ไม่เกินสามครั้ง
2. ผู้เข้าแข่งขัน
2.1 การแข่งขันยกน้ำหนักจัดขึ้นสำหรับผู้ชายและผู้หญิง นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันตามรุ่นที่ กำหนดอยู่ในกติกา โดยใช้น้ำหนักตัวเป็นเกณฑ์
2.2 ในทางปฏิบัติ สหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ กำหนดประเภทตามกลุ่มอายุไว้ 2 กลุ่ม ดังต่อไปนี้
- รุ่นเยาวชน อายุไม่เกิน 20 ปี
- รุ่นทั่วไป
การเคลื่อนไหวในการยกน้ำหนักทั้งสองท่า
1. ท่าสแนตช์
1.1 คานยกต้องวางอยู่ในแนวราบตรงหน้าแข้งของนักยกน้ำหนัก การจับคานยกต้องจับโดยการคว่ำฝ่ามือลงแล้วดึงขึ้นจากพื้นในจังหวะเดียว ให้แขนทั้งสองเหยียดตรงสุดอยู่เหนือศีรษะ ในขณะที่ขาทั้งสองข้างแยกออกจากกันหรืองอเข่าย่อตัวลง ในระหว่างการยกอย่างต่อเนื่องนั้น คานยกอาจเคลื่อนที่ผ่านหน้าขาหรือตักก็ได้ และส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายจะสัมผัสพื้นไม่ได้นอกจากเท้าทั้งสองข้างเท่านั้น ตำแหน่งสุดท้ายในการยกด้วยท่าสแนตช์นี้ แขนและขาต้องเหยียดตรง ปลายเท้าทั้งสองข้างต้องอยู่ในแนวเดียวกัน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องอยู่ในลักษณะนี้จนกว่าผู้ตัดสินจะให้สัญญาณวางคานยกลงบนพื้นได้ การพลิกข้อมือจะกระทำได้ต่อเมื่อคานยกพ้นศีรษะไปแล้วเท่านั้น และนักกีฬาจะจัดท่ายืนใหม่จากท่ายืนแยกขา หรือท่าย่อตัวเพื่อให้เท้าทั้งสองอยู่ในแนวเดียวที่ขนานกับลำตัวและคานยกได้ภายในเวลาไม่จำกัด และผู้ตัดสินต้องให้สัญญาณวางคานยกลงพื้นได้ในทันที เมื่อเห็นว่าทุกส่วนของร่ายกายนิ่ง
2. ท่าคลีนแอนด์เจิร์ก
2.1 จังหวะที่ 1 การคลีน คานยกต้องวางอยู่ในแนวราบตรงหน้าแข้งของนักยกน้ำหนัก การจับคานจะคว่ำฝ่ามือลงแล้วดึงคานยกจากพื้นสู่ระดับไหล่ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวในขณะที่ยืนแยกขา หรืองอเข่าลง ระหว่างการดึงคานยกขึ้นสู่ระดับไหล่นี้ คานยกอาจเคลื่อนที่ผ่านตามหน้าขาหรือตักได้ และคานยกต้องไม่แตะหน้าอกก่อนจะถึงลักษณะสุดท้ายคือ การวางพักคานยกไว้ที่ไหปลาร้าบนหน้าอกเหนือราวนม หรือบนแขนที่งอสุด เท้าทั้งสองกลับไปอยู่ในแนวเดียวกัน ขาทั้งสองเหยียดตรงก่อนที่จะเจิร์ก (คือ การยกน้ำหนักให้แขนทั้งสองเหยียดตรง) นักยกน้ำหนักจะสามารถจัดตำแหน่งให้อยู่ในลักษณะดังกล่าวได้ โดยไม่กำหนดเวลา และต้องวางเท้าทั้งสองให้อยู่ในแนวเดียวกัน โดยขนานกับคานยกและลำตัว
2.2 จังหวะที่ 2 การเจิร์ก นักยกน้ำหนักงอเข่าลงทั้งสองข้าง แล้วเหยียดขาพร้อมๆ กัน เหยียดแขนตรงเพื่อยกคานยกขึ้นสู่แนวดิ่ง โดยที่แขนทั้งสองเหยียดตรงเต็มที่ นักยกน้ำหนักชักเท้าทั้งสองกลับให้มาอยู่ในแนวเดียวกัน ในขณะที่ขาและแขนทั้งสองยังเหยียดตรงอยู่ แล้วคอยสัญญาณให้วางคานยกลงได้จากผู้ตัดสิน โดยผู้ตัดสินจะส่งสัญญาณให้ลดคานยกลงได้ทันทีที่เห็นว่านักยกน้ำหนักยืนนิ่งปราศจากการเคลื่อนไหว สิ่งที่ควรทราบ - หลังจากยกท่าคลีนแอนด์เจิร์ก และก่อนที่จะยกท่าเจิร์ก นักยกน้ำหนักสามารถตรวจ สอบการจัดตำแหน่งของคานยกได้ แต่การนี้ต้องไม่ทำให้เกิดความสับสน และเข้าใจผิดขึ้นได้ การยอมให้จัดตำแหน่งของคานยก มิได้หมายความว่า ยอมให้นักยกน้ำหนักใช้จังหวะที่สองได้อีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ก็ตาม แต่ยอมให้นักยกน้ำหนักปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้- กดหรือไม่กดหัวแม่มือได้ตามวิธีที่ถนัด- ลดคานยกลงมาพักไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้าง ในกรณีที่คานยกอยู่ในระดับสูงเกินไป ทำให้หายใจไม่ สะดวก หรือทำให้เกิดความเจ็บปวด- เปลี่ยนความกว้างของมือที่จับคานยก
3. กติกาทั่วไปในการยกทั้งสองท่า
3.1 อนุญาตให้ใช้วิธีการจับคานยกโดยวิธีฮุกได้ ซึ่งวิธีจับแบบฮุกคือ การจับคานยกโดยใช้นิ้วมือกดข้อปลาย หรือข้อสุดท้ายของหัวแม่มือในการจับคานยก
3.2 ในการยกทั้งสองท่า ผู้ตัดสินจะต้องตัดสินว่าไม่ผ่าน ถ้าการยกนั้นไม่สำเร็จ โดยที่นักยกน้ำหนักได้ดึงคานยกขึ้นถึงระดับเข่าแล้ว
3.3 หลังจากผู้ตัดสินได้ให้สัญญาณลดคานยกลงพื้นแล้ว นักยกน้ำหนักต้องลดคานยกลงทางด้านหน้าของตน ห้ามทิ้งคานเหล็กลงไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือบังเอิญก็ตาม นักยกน้ำหนักจะคลายการจับได้ ต่อเมื่อลดคานยกลงมาต่ำกว่าระดับเอวของตนแล้ว
3.4 ถ้าผู้เข้าแข่งขันคนใดไม่สามารถเหยียดแขนให้ตรงสุดได้ เนื่องจากข้อบกพร่องทางสรีระ ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นจะต้องแจ้งให้ผู้ตัดสินทั้งสามคน รวมทั้งกรรมการควบคุมการแข่งขันทราบก่อนเริ่มการ แข่งขัน
3.5 ในขณะที่ทำการยกท่าสแนตช์ หรือท่าคลีนแอนด์เจิร์ก จากท่านั่งงอเข่า นักยกน้ำหนักอาจช่วยการทรงตัว โดยการโยกหรือโคลงร่างกายของตนได้
3.6 ห้ามใช้ไขมัน น้ำมัน น้ำ แป้ง หรือส่งอื่นใดที่คล้ายกันช่วยให้เกิดความลื่นที่หน้าขา เพราะ นักยกน้ำหนักจะมีส่งช่วยความลื่นที่หน้าขาไม่ได้ เมื่อเข้าไปถึงที่ทำการแข่งขัน นักยกน้ำหนักที่ใช้สิ่งช่วยความลื่น จะถูกสั่งให้เช็ดออก ระหว่างการเช็ดสิ่งช่วยความลื่นออกจากหน้าขา จะไม่มีการหยุดนาฬิกาจับเวลา และอนุญาตให้ใช้ผงกันลื่นทาฝ่ามือ หน้าขา ฯลฯ ได้
4. การเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้องในการยกน้ำหนัก
4.1 การดึงจากท่าแขวน (ดึงสองขยัก)
4.2 ส่วนอื่นๆ ของร่างกายนอกจากเท้าสัมผัสพื้น
4.3 แขนทั้งสองข้างเหยียดไม่เท่ากัน หรือเหยียดไม่สุดเมื่อสิ้นสุดการยก
4.4 หยุดชะงักระหว่างการเหยียดแขนทั้งสอง
4.5 สิ้นสุดการยกด้วยการดัดแขน
4.6 งอหรือเหยียดแขนขณะเข้าสู่ท่าสิ้นสุดการยก
4.7 ออกนอกพื้นที่การแข่งขันระหว่างการยก ซึ่งหมายความถึงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายสัมผัสพื้นนอกบริเวณพื้นที่การแข่งขัน
4.8 วางคานยกลงก่อนได้รับสัญญาณจากผู้ตัดสิน
4.9 ทิ้งคานยกลงบนพื้นไปทางข้างหน้าหรือข้างหลัง หลังจากได้รับสัญญาณจากผู้ตัดสินแล้ว
4.10 สิ้นสุดการยกโดยเท้าทั้งสองและคานยกไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว
4.11 ไม่วางคานยกทั้งชุดลงพื้นการแข่งขันเมื่อสิ้นสุดการยก คือ คานยกทั้งชุดจะต้องสัมผัสพื้นการแข่งขันก่อน
5. การเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้องสำหรับท่าสแนตช์
5.1 หยุดชะงักระหว่างการยก
5.2 คานยกสัมผัสศีรษะ ขณะสิ้นสุดการยก
6. การเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้องสำหรับท่าคลีน
6.1 วางคานยกบนหน้าอกก่อนพลิกข้อศอก
6.2 ข้อศอกหรือต้นแขนสัมผัสหัวเข่าหรือต้นขา
7. การเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้องสำหรับท่าเจิร์ก
7.1 พยายามอย่างเห็นได้ชัดที่จะทำท่าเจิร์ก แต่ไม่สำเร็จ รวมทั้งการย่อตัวหรืองอเข่า
7.2 จงใจเขย่าหรือสั่นคานยก เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการยกน้ำหนักท่าเจิร์ก ตัวนักกีฬาและคานยกจะต้องนิ่งไม่ขยับเขยื้อนก่อนที่จะเจิร์ก
การเข้าแข่งขัน- ในการแข่งขันยกน้ำหนักแต่ละครั้งจะต้องมีการประชุมเกี่ยวกับเทคนิคก่อนที่จะมีการแข่งขันครั้งแรก 1 วัน ในการแข่งขันครั้งสำคัญ ต้องมีการประชุมด้านเทคนิคให้ทันเวลาก่อนการแข่งขัน และต้องระบุวันที่ และเวลาไว้ในหนังสือเชิญให้เข้าร่วมการแข่งขัน - การกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน จะกระทำเป็นขั้นสุดท้ายในการประชุมทางเทคนิค โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อ น้ำหนักตัว รุ่นที่จะเข้าแข่งขัน วันเกิด และสถิติรวมที่ทำได้ดีที่สุดของนักยกน้ำหนักแต่ละคน หลังจากเสนอชื่อนักกีฬาแล้ว การแก้ไขชื่อของนักกีฬาจะกระทำมิได้ และการกำหนดรุ่นตาม น้ำหนักตัวจะกระทำได้โดยเลื่อนเข้าแข่งขันในรุ่นที่สูงขึ้นถัดไป 1 รุ่นได้ เมื่อดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับของสหพันธ์ฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว นักกีฬาจะเปลี่ยนไปลงแข่งขันในรุ่นที่ต่ำกว่ารุ่นซึ่งสมัครไว้แล้วไม่ได้ - ในการแข่งขันแต่ละรุ่น เลขานุการจัดการแข่งขันจะแบ่งนักกีฬาออกเป็นสองกลุ่ม หรือมากกว่า ก็ได้ การแบ่งกลุ่มขึ้นอยู่กับสถิติเดิมที่นักกีฬาได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ - ในการประชุมทางเทคนิคต้องกำหนดบุคคลให้ทำหน้าที่คณะกรรมการควบคุมการแข่งขัน ผู้ตัดสิน ผู้ควบคุมด้านเทคนิค และแพทย์สนาม สำหรับการแข่งขันในแต่ละรุ่น แต่ละกลุ่ม - ในรายละเอียดข้อมูล จะต้องลงไว้ในใบสูจิบัตรการแข่งขันด้วย
การจับสลากหมายเลขประจำตัว- ในการประชุมด้านเทคนิค จะต้องจับสลากหมายเลขประจำตัวสำหรับผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน ผู้เข้า แข่งขันจะต้องใช้หมายเลขประจำตัวนี้ตลอดการแข่งขันถึงแม้ว่าจะเลื่อนขึ้นไปแข่งขันในรุ่นที่สูงขึ้นก็ตาม - หมายเลขประจำตัวจะใช้เป็นหมายเลขเรียงลำดับในการชั่งน้ำหนัก และลำดับในการยกตลอดการแข่งขัน
การชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน- การชั่งน้ำหนักแต่ละรุ่น ต้องชั่งก่อนลงการแข่งขัน 2 ชั่วโมง และเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง - การชั่งน้ำหนักต้องกระทำในห้อง ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกดังต่อไปนี้ คือ เครื่องชั่งมาตรฐาน ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการเพื่อใช้ในการแข่งขัน โต๊ะ และเก้าอี้ สำหรับเลขานุการจัดการแข่งขัน และแบบพิมพ์ ต่างๆ ที่ต้องใช้ในการแข่งขัน ปากกา และเครื่องเขียน ฯลฯ - ผู้ตัดสินกลาง เป็นผู้ควบคุม และใช้เครื่องชั่งน้ำหนัก และผู้ตัดสินด้านข้างเป็นผู้ลงนามรับรองผลการชั่งน้ำหนักตัวตามที่เลขานุการบันทึก - ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนในแต่ละรุ่น จะต้องชั่งน้ำหนักตัวต่อหน้าผู้ตัดสิน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ 3 คน และต่อหน้าเลขานุการจัดการแข่งขัน และอนุญาตให้ผู้แทนของแต่ละทีมเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์การชั่งน้ำหนักตัว ได้แก่ ประธานเลขาธิการของสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ ประธานฝ่ายแพทย์ รวมทั้งกรรมการฝ่ายเทคนิค - ผลการชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน จะเปิดเผยได้ต่อเมื่อผู้เข้าแข่งขันได้ชั่งน้ำหนักตัวครบถ้วนทุกคนแล้วเท่านั้น - ผู้เข้าแข่งขันจะถูกเรียกชื่อให้เข้าไปในห้องชั่งน้ำหนักครั้งละหนึ่งคน โดยเรียกตามลำดับหมายเลขประจำตัว ในกรณีที่ผู้เข้าแข่งขันถูกเรียกชื่อแล้ว แต่ไม่ปรากฏตัวอยู่ในที่นั้น ผู้เข้าแข่งขันคนนั้นๆ จะได้รับการเรียกชื่อเป็นคนถัดไปเมื่อกลับมาถึงห้องชั่งน้ำหนักแล้ว - ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะต้องแสดงตน โดยแสดงหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวต่อเลขานุการจัดการแข่งขัน - ผู้เข้าแข่งขันจะต้องชั่งน้ำหนัก โดยการถอดเสื้อผ้าหรือสวมชุดชั้นใน นักยกน้ำหนักหญิงจะต้องชั่งต่อหน้ากรรมการผู้ตัดสินที่เป็นสุภาพสตรีเท่านั้น และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เลขานุการในการชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขันต้องเป็นสุภาพสตรีด้วย - เมื่อผู้เข้าแข่งขันมีน้ำหนักอยู่ในพิกัดที่กำหนดไว้ในรุ่นนั้นๆ แล้ว การชั่งน้ำหนักก็จะกระทำได้ครั้ง นั้นเพียงครั้งเดียว ภายในเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน ผู้แข่งขันที่มีน้ำหนักที่ต่ำหรือสูงเกินกว่าเกณฑ์กำหนด จะขอชั่งน้ำหนักเพื่อทำให้น้ำหนักถูกต้องตามพิกัดกี่ครั้งก็ได้ เมื่อหมดเวลาการชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขันแล้ว ผู้เข้าแข่งขันที่มีน้ำหนักน้อยเกินไปจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน ผู้แข่งขันที่มีน้ำหนักเกินอาจได้รับอนุญาตให้เข้าแข่งขันในรุ่นที่สูงขึ้นถัดไป แต่ในรุ่นที่จะเลื่อนขึ้นไปนั้น จะต้องมีนักกีฬาจากประเทศเดียวกันเข้าแข่งขันไม่เกินสองคน การเปลี่ยนในกรณีนี้จะต้องแจ้งให้เลขานุการจัดการแข่งขัน และกรรมการควบคุมทางเทคนิค ซึ่งเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการชั่งน้ำหนักครั้งนั้นทราบ และนักกีฬาผู้นั้นจะต้องมีน้ำหนักตัวถึงเกณฑ์ต่ำสุดของรุ่นถัดไป - นักกีฬาที่ได้แจ้งไว้ว่าจะเข้าแข่งขันในรุ่นใดรุ่นหนึ่งแล้ว จะเลื่อนรุ่นเข้าแข่งขันในรุ่นที่หนักกว่ารุ่นที่แจ้งไว้ก็ได้ ถ้านักกีฬาคนนั้นหรือผู้แทนแจ้งความต้องการดังกล่าวภายหลัง หรือเริ่มการชั่งน้ำหนักตัวในรุ่นที่ได้แจ้งไว้แล้วแต่เดิม โดยนักกีฬาคนนั้นมีคุณสมบัติถูกต้องตามกติกาว่าด้วยการชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน - ระหว่างการชั่งน้ำหนักก่อนการแข่งขัน ผู้ฝึกสอนของนักกีฬายกน้ำหนักแต่ละคนจะต้องเซ็นชื่อ และเขียนน้ำหนักที่จะยกเป็นครั้งแรก (สแนคช์ และคลีนแอนด์เจิร์ก) ลงในใบส่งน้ำหนักเหล็กด้วย - ก่อนการชั่งน้ำหนัก เจ้าหน้าที่ของสหพันธ์ยกน้ำหนัก หรือทีมยกน้ำหนักของแต่ละประเทศ จะต้องแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะเป็นผู้ติดตามนักกีฬาระหว่างการแข่งขันต่อเลขานุการจัดการแข่งขัน นักกีฬาแต่ละคนจะมีผู้ติดตามเกินสามคนไม่ได้ สำหรับนักกีฬาสองคนจะมีผู้ติดตามเกินสี่คนไม่ได้ เลขานุการจัดการแข่งขันจะเป็นผู้ออกบัตรอนุญาตให้แก่บุคคลที่ระบุชื่อดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่จะเข้าไปในบริเวณที่สำหรับอบอุ่นร่างกายได้ จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจากเลขานุการจัดการแข่งขันแล้วเท่านั้น บัตรอนุญาตนี้จะออกให้สำหรับแต่ละรุ่นโดยเฉพาะ
การแสดงตัวบนเวที- สิบห้านาทีก่อนเริ่มการแข่งขันในแต่ละรุ่นหรือแต่ละกลุ่มต้องมีการแสดงตัวต่อไปนี้ ก. ผู้เข้าแข่งขันในรุ่นหรือกลุ่มน้ำหนักนั้นๆ ต้องแสดงตัวตามลำดับหมายเลขประจำตัว หลังจากแสดงตัวแล้ว นักกีฬาจะลงหรือออกจากเวทีการแข่งขันพร้อมกัน ข. ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันจะแสดงตัวซึ่งประกอบด้วย ผู้ตัดสิน กรรมการควบคุมด้านเทคนิค แพทย์สนาม คณะกรรมการควบคุมการแข่งขัน เลขานุการจัดการแข่งขัน
หมายเหตุ บุคคลตามตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น จะแสดงตัวพร้อมกันและลงจากเวทีพร้อมกัน ดนตรีบรรเลงเพลงมาร์ชที่เหมาะสม กรรมการควบคุมการแข่งขัน และเลขานุการจัดการแข่งขันจะแสดงตัว ณ ที่ทำงานของตน ซึ่งจัดไว้ในบริเวณการแข่งขันในช่วงเวลาก่อนเริ่มการแข่งขัน - การใส่น้ำหนักเหล็กที่จะยก ให้เริ่มจากน้อยไปหามาก โดยผู้เข้าแข่งขันที่ยกน้ำหนักน้อยที่สุดจะต้องยกก่อนไม่ว่ากรณีใดๆ หลังจากผู้เข้าแข่งขันได้ยกน้ำหนักที่ใส่ไว้แล้ว จะลดน้ำหนักเหล็กให้ต่ำกว่าเดิมตามที่ได้ประกาศไว้แล้วไม่ได้ ผู้เข้าแข่งขันหรือผู้ฝึกสอนจะต้องสังเกต และเฝ้าติดตามการเพิ่มน้ำหนักเหล็กอย่างต่อเนื่อง และต้องพร้อมที่จะทำการยกเมื่อถึงน้ำหนักเหล็กที่ขอไว้ - การเพิ่มน้ำหนักเหล็ก จะต้องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณของ 2.5 กิโลกรัมเสมอ ยกเว้นการยกเพื่อทำ สถิติ ให้เพิ่มเพื่อเป็นทวีคูณของ 500 กรัม การเพิ่มน้ำหนักเหล็ก ภายหลังการยกผ่านแต่ละครั้ง จะต้องเพิ่มอย่างน้อย 2.5 กิโลกรัม น้ำหนักเหล็กที่ผู้เข้าแข่งขันจะขอยกได้อย่างน้อยที่สุดคือ 27.5 กิโลกรัม ประกอบด้วย คานยก และปลอกยึด กับแผ่นเหล็กขนาด 1.25 กิโลกรัม 2 แผ่น - ระหว่างการเรียกชื่อจนถึงเริ่มต้นการยก ผู้เข้าแข่งขันจะมีเวลา 1 นาที เมื่อเวลาผ่านไป 30 วินาที จะมีสัญญาณเตือน ถ้าหมดเวลา 1 นาทีแล้วผู้เข้าแข่งขันยังไม่ยกคานขึ้นจากพื้น ผู้ตัดสินทั้งสามคนจะตัดสินการยกครั้งนั้นไม่ผ่าน เมื่อผู้เข้าแข่งขันยกสองครั้งติดต่อกัน ผู้เข้าแข่งขันจะมีเวลา 2 นาที และก่อนหมดเวลา 30 วินาที จะมีสัญญาณเตือน และถ้าหมดเวลา 2 นาทีแล้ว ผู้เข้าแข่งขันยังไม่ยกคานขึ้นจากพื้น ผู้ตัดสินทั้งสามคนจะตัดสินการยกครั้งนั้นไม่ผ่าน - เมื่อผู้เข้าแข่งขันต้องการเพิ่มหรือลดน้ำหนักเหล็กที่เลือกไว้แล้วผู้เข้าแข่งขันหรือผู้ฝึกสอนจะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่เหล็กทราบก่อนการเรียกครั้งสุดท้าย - ก่อนการยกครั้งแรกหรือระหว่างครั้งที่ 2 สามารถขอเปลี่ยนน้ำหนักเหล็กได้เพียงสองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องเขียนลงบนใบส่งน้ำหนักเหล็ก พร้อมกับการเซ็นชื่อของผู้ฝึกสอนหรือนักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันกำกับไว้ด้วย หลังจากที่นักกีฬาถูกเรียกชื่อครั้งสุดท้ายแล้ว จะเปลี่ยนน้ำหนักคานยกไม่ได้ - การเรียกชื่อครั้งสุดท้ายคือ กรรมการจับเวลาจะให้สัญญาณก่อนหมดเวลา 30 วินาที เพื่อเป็นการรักษาเวลา ผู้ฝึกสอนอาจเข้าไปหาผู้ประกาศเพื่อขอเปลี่ยนน้ำหนักเหล็กด้วยวาจาแทนการเขียนลงในใบส่งน้ำหนักเหล็ก
ในการเรียกผู้เข้าแข่งขันให้ออกมายกน้ำหนักนั้น มีข้อพึงพิจารณาอยู่ 4 ประการ คือ- น้ำหนักของเหล็ก - ครั้งที่ยก (ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 หรือครั้งที่ 3) - หมายเลขประจำตัวของผู้เข้าแข่งขัน - น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น (นั่นคือ ผลต่างของน้ำหนักเหล็กเป็นกิโลกรัมที่ยกครั้งก่อนกับน้ำหนักที่ขอยกครั้งต่อไป)
ในการพิจารณาตามข้อต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ลำดับการเรียกชื่อต้องเรียงลำดับ ดังนี้- ผู้เข้าแข่งขันที่เรียกน้ำหนักเบากว่า จะเป็นผู้ยกก่อน - ผู้เข้าแข่งขันที่ยกน้อยครั้งกว่า จะยกก่อนผู้ที่เข้าแข่งขันที่ยกมากครั้งกว่า
การประกาศผู้ชนะ- หลังจากการแข่งขันทั้งท่าสแนตช์ และท่าคลีนแอนด์เจิร์ก แล้ว จะประกาศรายชื่อนักกีฬาผู้เข้าแข่งขัน 6 ตำแหน่งแรก (สำหรับท่าสแนตช์, คลีนแอนด์เจิร์ก และน้ำหนักรวม) - จะมีเวลาอีก 10 นาที หลังจากการแข่งขันท่าสแนตช์ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมแข่งขันท่าคลีนแอนด์เจิร์ก ต่อไป
การจัดลำดับตำแหน่งนักกีฬาและทีม- ผลการแข่งขันของผู้ชนะเลิศ จะมีการมอบรางวัลให้สำหรับการยกแต่ละท่าคือ ท่าสแนตช์ ท่า คลีนแอนด์เจิร์ก และน้ำหนักรวมของการยกทั้ง 2 ท่า (จำแนกเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของท่าสแนตช์ และที่ดีที่สุดของท่าคลีนแอนด์เจิร์ก) ผู้เข้าแข่งขันที่ชนะเลิศ ได้ตำแหน่งที่ 2 และที่ 3 ใน 2 ท่า และน้ำหนักรวม ที่เป็นทางการในการแข่งขันภายใต้กฎของสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ จะได้รับเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ตามลำดับ - ในการจัดน้ำหนักของผู้เข้าแข่งขัน ให้คำนวณเป็นน้ำหนักรวมโดยวิธีนำผลการยกที่ดีที่สุดของท่าสแนตช์ และท่าคลีนแอนด์เจิร์กมารวมกัน ถ้าผู้เข้าแข่งขันยกน้ำหนักได้สถิติไม่ใช่เป็นทวีคูณของน้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม เพื่อนำไปพิจารณาคำนวณในน้ำหนักรวมของเขา - ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก และการแข่งขันระดับทวีป หรือการแข่งขันระหว่างภาคพื้นทวีป ซึ่งยอมรับกันโดยประเทศที่เป็นสมาชิกในการแข่งขันนานาชาติ การจัดลำดับทีมเข้าแข่งขัน จะต้องคำนวณจากการรวมคะแนนของนักกีฬาแต่ละคนตามตารางต่อไปนี้
กำหนดให้ 16 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 1กำหนดให้ 14 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 2กำหนดให้ 13 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 3 กำหนดให้ 12 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 4กำหนดให้ 11 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 5กำหนดให้ 10 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 6 กำหนดให้ 9 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 7กำหนดให้ 8 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 8กำหนดให้ 7 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 9กำหนดให้ 6 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 10กำหนดให้ 5 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 11กำหนดให้ 4 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 12กำหนดให้ 3 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 13กำหนดให้ 2 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 14กำหนดให้ 1 คะแนน สำหรับตำแหน่งที่ 15
- คะแนนของทีมสำหรับการยกแต่ละท่า (สแนตช์และเจิร์ก) จะบรรจุให้กับทีมเช่นเดียวกับน้ำหนักรวม - ในกรณีที่ยกน้ำหนักได้เท่ากัน ผู้เข้าแข่งขันที่มีน้ำหนักเบากว่า จะอยู่อันดับที่ดีกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า - เมื่อผู้เข้าแข่งขัน 2 คนหรือมากกว่า ยกได้เท่ากันในการแข่งขัน และมีน้ำหนักตัวเท่ากัน ผู้เข้าแข่งขันที่ยกน้ำหนักได้ก่อนจะเป็นผู้ที่ได้ลำดับที่ดีกว่า - ในกรณีที่ทำคะแนนได้เท่ากัน การจัดอันดับของทีมต่างๆ ทีมที่มีตำแหน่งที่ 1 มากที่สุด จะได้รับการจัดให้เป็นอันดับที่ 1 ในกรณีที่ 2 ทีมที่มีลำดับที่ 1 เท่ากัน ทีมที่มีตำแหน่งที่ 2 มากกว่า จะได้รับการจัดให้เป็นอันดับที่ 1 และพิจารณาตำแหน่งที่ 3 ตามมาในทำนองเดียวกัน - ผู้เข้าแข่งขันที่ไม่มีสถิติในการแข่งขันท่าสแนตช์ จะได้รับอนุญาตให้สามารถทำการแข่งขันในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก ต่อไป ซึ่งถ้าเขาสามารถยกได้สำเร็จ เขาก็จะได้รับคะแนนเพื่อสะสมเป็นคะแนนของทีม และได้รับตำแหน่งเฉพาะท่าคลีนแอนด์เจิร์ก แต่จะไม่มีคะแนนให้สำหรับน้ำหนักรวม - ในกรณีที่ผู้เข้าร่วมแข่งขันได้รับความสำเร็จในท่าสแนตช์ แต่ไม่มีสถิติในท่าคลีนแอนด์เจิร์ก เขาก็จะได้รับคะแนนสะสมเป็นคะแนนของทีม และได้รับตำแหน่งเฉพาะในท่าสแนตช์ แต่จะไม่มีคะแนนให้สำหรับน้ำหนักรวม
Last Updated ( Jul 05, 2007 at 04:20 AM )
ที่มาhttp://www.seagames2007.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=172&Itemid=143
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก
หลักการออกกำลังกายด้วย การยกน้ำหนัก
อบอุ่นร่างกาย โดยใช้กิจกรรมเบา ๆ 5-10 นาที
ยืดเหยียดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ที่จะใช้งาน ยืดค้างไว้ โดยนับ 10 ทำท่าละ 1-2 เที่ยว
บริหารกายหน้าท้องและหลังให้แข็งแรง
ออกกำลังกายในแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อละ 1-3 ท่า
ควรเริ่มจากกลุ่มกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ก่อน แล้วจึงเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ
ควรพักอย่างน้อย 2-3 วัน ในการฝึกแต่ละครั้ง
ควรทำ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
ขณะยกน้ำหนัก ควรรักษาท่าทางและการเคลื่อนไหวโดยยกอย่างช้าๆ ควบคุมท่าทางไว้ ขณะยกขึ้นนับ 2-4 ขณะวางลง นับ 4-6
การยกแต่ละครั้งควรทำให้สุดช่วงของการเคลื่อนไหว
ควรฝึกกลุ่มกล้ามเนื้อทั้งสอง หรือ ฝึกกล้ามเนื้อด้านหน้าและด้านหลังควบคู่กันไป
เพิ่มน้ำหนัก แรงต้านของการฝึกขึ้นเมื่อคุณสามารถทำได้แล้ว
หลังฝึกเสร็จต้องผ่อนร่างกาย และยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุกครั้ง
โปรแกรมการฝึกความอดทนของกล้ามเนื้อและเพื่อสุขภาพจะเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ หรือผู้เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆโปรแกรมการฝึกความแข็งแรงและสร้างพลัง เหมาะสำหรับผู้ที่เคยฝึก หรือนักกีฬา โปรแกรมการฝึกเพาะกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อให้มีขนาดใหญ่
ข้อแนะนำ
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก ควรจะทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ความหนัก ปานกลาง
การออกกำลังกายที่ดีควรจะเป็นการออกกำลังกายในทุกระบบของร่างกาย
โภชนาการที่เหมาะสมจะช่วยให้โปรแกรมการฝึกประสบความสำเร็จ
ควรดื่มน้ำก่อน ขณะฝึก และหลังฝึกจะช่วยให้ร่างกายอยู่ ในภาวะสมดุลไม่ขาดน้ำ
แต่ละบุคคล มีสมรรถภาพทางกายแตกต่างกันดังนั้น โปรแกรมการออกกำลังกาย จึงแตกต่างกัน
ที่มาhttp://www.bss.osrd.go.th/health/exercise-weight.php
4 ความคิดเห็น:
ก้อดีนะ
แต่ปรับปรุงหน่อยก้อดี
เนื้อหาน้อยไปหน่อย
นายธัญญวัฒน์ เทียมเกรียงไกร
ดีครับ เนื้อหาน้อยไป
คุณทำดีเเล้ว เเต่ยังดีไม่พอ
ก็ดีคับ มี สาระดี
แสดงความคิดเห็น